
หากจะเอ่ยถึงการเลือกนิทานดีๆให้ลูกสักหนึ่งเล่ม ชื่อของหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ คงต้องถูกนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ นั่นเพราะคุณหมอคือผู้แนะนำแนวทางการเลี้ยงลูกด้วยนิทานที่ได้รับการติดตามมากที่สุดในประเทศ และแน่นอนว่า หากคุณแม่กำลังคิดจะซื้อนิทานเล่มใหม่ให้ลูก อย่าพลาดที่จะมาดูลิสต์แนะนำหนังสือนิทานน่าอ่านจากคุณหมอกันก่อนเลย
25 หนังสือนิทาน หมอประเสริฐแนะนำ คัดมาแล้วว่าต้องมี

มอม่อนจังเตาะแตะ : คาสุฮิโกะ โตโยตะ
มาอีกแล้ว หนังสือญี่ปุ่นเนื้อที่มากมาย คำบรรยายไม่กี่คำ อวกาศที่เคลื่อนที่ไป
คำนำเสนอ : เด็กเตาะแตะไปจากแม่เมื่ออายุประมาณ 1 ขวบ วันที่เขาตั้งไข่ได้แล้วเตาะแตะได้เป็นครั้งแรก เขาจะเตาะแตะไปเพียงไม่กี่ก้าว แล้วหันกลับมาดูแม่ เวลานั้นพวกเราดีใจ อิ่มใจ ปลื้มใจ มีความสุข แม่ พ่อ และคนอื่นๆตบมือส่งเสียงให้กำลังใจ ยิ้มหวานชื่นให้แก่เขา เขาจะหันกลับไป เตาะแตะต่อไป สักไม่กี่ก้าวจะหันกลับมาอีก ยิ้มให้แก่เรา เรายิ้มให้แก่เขา ตบมือส่งเสียงให้กำลังใจอีก เขาจะเตาะแตะไปอีก เวลาผ่านไป เขาจะไปไกลจากเรามากขึ้นทุกทีๆ และหันหน้ากลับมาหาเราน้อยลงทุกทีๆ ทุกครั้งที่เขาหันกลับไปเพื่อเตาะแตะต่อไป เขาจะนึกถึงเราน้อยลงทุกทีๆ นี่คือเวลาที่เด็กหนึ่งคนเดินจากเราไป แต่ระยะทางที่ห่างขึ้นนั้นมีสายใยสัมพันธ์ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเชื่อมลูกกับแม่เอาไว้
สายใยสัมพันธ์นี้เรียกว่า สายสัมพันธ์ (attachment) ซึ่งสามารถทอดออกไปได้ยาวไกลไม่สิ้นสุด แม้วันที่ลูกจากไปเรียนในที่ไกลก็ไม่จางหาย เขายังคงมีแม่ติดตามในใจไปด้วยเสมอ สายสัมพันธ์นี้อยู่เหนือกาลเวลา แม้ว่าแม่สิ้นแล้วก็ไม่จางหาย ภาพของแม่ ความรัก ความอบอุ่น ความเมตตา ความหวังดีของแม่คงอยู่ตลอดกาลนาน สายสัมพันธ์นี้คือปัจจัยที่ทำให้ลูกอยู่กับร่องกับรอย ไม่ออกนอกลู่นอกทาง ตรงไปข้างหน้า พบอุปสรรคก็ไม่ยอมแพ้ พบอบายมุขก็ไม่เข้าหา หลายครั้งที่ชีวิตมีอุปสรรค มีความเหนื่อยล้า หรือแม้กระทั่งเมื่อเขาเล่นเสร็จแล้ว ภารกิจลุล่วงแล้ว เขาจะกลับมาหาแม่เสมอ
มอม่อนจังรีบไปไหนนะ?

ก๊อก ก๊อก ขอค้างคืนหนึ่งนะ
พรอนงค์ นิยมค้า แปล
เล่มนี้นานแล้ว รอบนี้พิมพ์ครั้งที่8 ปกแข็ง ท่าจะขอค้างอีกหลายคืน
คืนนี้หมอกลงจัด หนู 3 ตัวไปต่อไม่ได้ เห็นเงาตะคุ่มของบ้านหลังหนึ่ง จึงก๊อก ก๊อก ขอค้างคืนหนึ่งนะ แต่ในบ้านไม่มีใคร
หนู 3 ตัวนอนด้วยกันบนเตียงใหญ่
จากนั้นใครไม่รู้ก็เดินมา ก๊อก ก๊อก
แล้วใครไม่รู้ก็มาอีก ก๊อก ก๊อก
แล้วใครไม่รู้ก็มาอีก ก๊อก ก๊อก
ลูกใครนอนยาก เอาไปอ่านเลย
มีคำถามเสมอว่าเด็กบางคนชอบอ่านอะไรซ้ำๆ หนังสือบางเล่มอ่านเป็นสิบเที่ยว มีอะไรน่าห่วงมั้ย คำตอบคือไม่
ระหว่าง 1-12ขวบ เด็กพัฒนาทุกวัน ย้ำว่าทุกวัน
ระยะของชีวิตเปลี่ยนไปเร็วมาก 1ขวบ เป็นทารก 2-3ขวบเป็นเด็กเล็ก 4-5ขวบเป็นเด็กกลางๆ 6-7ขวบเป็นเด็กโตตอนต้น 8-12ขวบเป็นเด็กโต ทุกระยะเขามิใช่คนเดิม เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ สมองใหม่ จิตใจใหม่ และมุมมองใหม่ๆ
เด็กยิ่งเล็กยิ่งเปลี่ยนเร็วมาก สัปดาห์หน้าก็ไม่เหมือนสัปดาห์นี้แล้ว เขามองหนังสือฟังแม่อ่าน เขาเห็นต่างกัน เก็บเกี่ยวต่างกัน มโนต่างกัน
ก๊อก ก๊อก ใครนะ!! สมอง จิตใจ และจินตนาการต่างกันไปทุกๆครั้งที่เวลาผ่านไป
ไม่เหมือนพวกเราผู้ใหญ่ จาก 25-55 ปี แทบจะเป็นคนเดียวกัน ไม่มีอะไรเปลี่ยน ออกจะเดิมๆ
เวลาบางคนว่าเดี๋ยวว่างๆแล้วจะมาเลี้ยงลูก ก็จะเสียดายแทนทุกครั้ง ไม่ว่างสามวันเราก็พลาดของดีไปแล้ว

ลูกหมีอาบน้ำ
คำแปลโดย สุภาวดี โกมารทัต
มีพ่อแม่ชอบถามว่าเล่มนั้นเล่มนี้เหมาะแก่เด็กอายุกี่ขวบ ผมมักเลี่ยงคำถามนี้เสมอด้วยมิอยากให้เป็นกังวล และไม่อยากให้เสียเงินมาก อ่านอะไรได้ก็อ่านไปเถอะ เด็กสนุกเป็นใช้ได้ หากเด็กจะกัดเล่นก็ปล่อยเขากัด อยู่ด้วยกันก่อนนอนให้มีความสุขคือโอเค
แต่ถ้าอยากได้อายุกันจริงๆ เรามีการแบ่งง่ายๆแบบนี้ ขวบปีแรกทารกจะสนใจภาพสองสีและสองมิติ ขวบปีที่สองจะสนใจหนังสือเสียง ขวบปีที่สามจะสนใจหนังสือที่เปิดออกมาเป็นรูปทรงสามมิติจริงๆ และขวบปีที่สี่เป็นต้นไปจะสนใจหนังสือสีที่มีเรื่องราวซับซ้อน นี่แบ่งตามกลไกการอ่านของสมอง มิได้แบ่งตามเนื้อเรื่องหรือเนื้อหาเล่มนี้บอกเราหลายอย่าง
หนึ่ง เด็กเล็กชอบสกปรก และไม่ชอบอาบน้ำ การเล่นดินทรายสกปรกจึงเป็นเรื่องดีเสมอสำหรับพวกเขา
สอง ผู้คุ้มกฎเล่มนี้มิใช่พ่อแม่หมี แต่คือพี่! ดังที่เขียนเสมอว่าพ่อแม่ที่ชาญฉลาด พ่อแม่ที่กำลังจะมีคนที่สอง ให้ยกพี่ขึ้นเหนือกว่าเล็กน้อย ให้ความสำคัญแก่พี่มากกว่านิดหน่อย ทำให้น้องๆรู้ว่าอย่าหืออาจจะเถียงได้ว่าพี่หมีบ้านนี้ตัวใหญ่ ความจริงคือในสายตาของเด็กเล็ก พี่ตัวใหญ่เสมอหากพ่อแม่ทำให้เชื่อเช่นนั้น
สาม สำหรับเด็กเล็ก วินัยดูแลร่างกายตนเองเป็นความสำคัญอันดับต้นๆ กินข้าวตรงเวลาด้วยตนเอง อาบน้ำด้วยตนเองตรงเวลา และเข้านอนตรงเวลาโดยที่การฝึกฝนเริ่มต้นด้วยการเล่นเสมอ
สี่ เนื้อเรื่องหนึ่งที่เด็กเล็กชอบเสมอคือเรื่องผู้ใหญ่ทำผิดพลาด พี่หมีในเรื่องนี้เป็นตัวอย่าง
ประเด็นคือพ่อแม่ต้องมีอารมณ์สนุกมากพอที่จะ "เล่น" มิได้เห็นการฝึกวินัยเป็นภาระ นั่นแปลว่าต้องไม่เหนื่อยมาจากที่ทำงานมากจนเกินไป มิเช่นนั้นจะเกิดปรากฏการณ์เด็กดื้อทุกครั้งไป เราเองนั่นแหละคือต้นเหตุ!
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ลูกสำคัญกว่างาน

เก้าอี้เชิญตามสบาย จากญี่ปุ่น
เล่าเรื่องกระต่ายนายช่างไม้ ทำเก้าอี้ขึ้นมาตัวหนึ่ง ไม่ลืมที่จะเติมหางให้เก้าอี้ด้วย
กระต่ายเอาเก้าอี้เชิญตามสบายไปไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น เชิญตามสบายนะ
ลาถือตะกร้าลูกโอ๊กผ่านมา วางตะกร้าบนเก้าอี้ แล้วไปนอนหลับใต้ต้นไม้ใหญ่
ปัทโธ่! ทำไมไม่นั่งเก้าอี้
แล้วลาก็หลับไป จากนั้นมีสัตว์ตัวที่หนึ่งมากินลูกโอ๊ก กินหมดก็สงสารคนอื่นจะไม่มีกิน จึงวางของกินชนิดหนึ่งไว้
ตัวที่สองก็มาถึง กินแล้ววางของใหม่
ตัวที่สามก็มาถึง กินแล้ววางของใหม่
ตัวที่สี่ก็มาถึงถึง กินแล้ววางของใหม่
มาเรื่อยๆจนกระทั่งตัวสุดท้ายลาตื่น โอ๊ะ! ลูกโอ๊กทำไมกลายเป็นงี้ไปได้?
น่าจะสนุกมากสำหรับเด็กเล็ก คือพัฒนาการ placement& displacement การวางและการเคลื่อนย้าย จากหน้าแรกถึงหน้าสุดท้าย space หรืออวกาศขยายตัวออก time หรือเวลาเคลื่อนไปข้างหน้าเป็นพัฒนาการที่สำคัญมาก

แตะต้นไม้วิเศษ คริสตี แมทเทอสัน
น้านกฮูกอีกที เห็นว่าเล่มสุดท้ายของปีแระ
การละเล่นสำหรับเด็กเล็กๆที่ดีคือมือบีบแล้วได้เลย
เด็กโตอาจจะต้องการการเล่นที่ท้าทายบ้าง แต่สำหรับเด็กเล็กเรายังไม่ได้ให้ต่อจิ๊กซอว์หรือเลโก้ เราอยากได้การเล่นที่นิ้วขยับก็เกิดผลทันตา เช่น
ดินน้ำมัน บีบปุ๊บบุบปั๊บ ฝีมือเราหรือเนี่ย! เก่งอิ๊บอ๋าย
กระดาษ ขยำปุ๊บกรอบแกรบปั๊บ สนุกดี ฉีกปุ๊บแคว่กปั๊บ 555 ชอบๆ
หนังสือเล่มนี้ทำหน้าที่แบบเดียวกัน น่าชมเชยจริงคิดออกมาได้อย่างไร ฝีมือแท้ๆ
ลองเปิดอ่านกับลูกดู แล้วหลอกลูกแตะ ไม่ยอมแตะก็จับมือแตะ หนังสือมีไว้แตะก็ได้ ไม่ต้องเอาไปกิน
แตะซิ แตะอีกที แตะซ้ำๆ จั๊กกะจี้ได้ด้วย ถู เคาะ เป่าเลย มหัศจรรย์แท้ๆ
เป็นหนังสือที่อะนิเมท (animate) ได้ด้วยตัวเอง คือ อะนิมิสซึ่ม (animism) ดีที่สุดคือเด็กพบว่าตนเองทำได้!

ช่วยเช็ดให้นะ
มารินา โคบายาชิ แปล
เด็กเล็กเรียนรู้ร่างกายของตนเองเป็นพื้นที่แรก เรียกว่า primary circulation zone
ก่อนที่จะเรียนรู้วัตถุที่จับต้องได้รอบตัวเป็นพื้นที่ที่สอง เรียกว่า secondary circulation zone
เด็กเห็นตนเองเป็นศูนย์กลาง เรียกว่า egocentricism
และเห็นตุ๊กตาเสมือนหนึ่งตัวแทนของแม่ เรียกว่า imaginary companion
ช่วยเช็ดให้นะ เริ่มต้นที่เด็กเล็กเป็นศูนย์กลาง กินซุปร่วมกับตุ๊กตาคือแม่
เด็กเล็กช่วยเช็ดซุปที่หกเปื้อนมือ ท้อง และเท้าของตุ๊กตา คือพัฒนาการของพื้นที่รอบตัวพร้อมๆไปกับพัฒนาการของร่างกายตนเอง
โดยไม่ลืมที่จะทิ้งท้ายด้วยการเช็ดปาก อันเป็นเครื่องมือส่วนแรกสุดของร่างกายที่ทารกใช้สำรวจโลก ปากจึงเป็นปฐมบท
ดูแลปากตนเอง ดูแลร่างกายตนเอง แล้วจึงดูแลโลก เป็นหนังสือเด็กเล็กที่ใช้คำเพียงไม่กี่คำและรูปวาดสวยงามเรียบง่ายเพียงไม่กี่ภาพ สร้างโลกขึ้นทั้งใบ

ทัศนศึกษาวันฝนตก
เด็กๆชอบทัศนศึกษา มันดีต่อใจมาก ไม่ต้องเรียน ดูหน้าตาเด็กแต่ละคน ชอบๆๆ
มาคุยกันเรื่อง 1-2-3 มิติอีกครั้ง
เด็กเล็กนอนหงายดูรูปขณะที่พ่อแม่อ่านหนังสือ โลกมีเขาเป็นศูนย์กลาง ไม่มีมิติ
หนังสือนิทานประกอบภาพ ทั้งภาพและเสียงพาเขาออกจากตำแหน่งที่นอนท่องเที่ยวไป ในใจตัว คือในสมอง ห้องนอนมิใช่ห้องนอนอีกต่อไป
เล่มนี้ ควรกางร่มอ่าน มิเช่นนั้นจะเป็นหวัด เดินไปหยิบมา ลูกจะสนุก ไปกางร่มอ่านใต้ฝักบัว ลูกจะไม่รักการอ่านให้มันรู้ไป
หนังสือบางเล่ม แปลงกายจาก 2 มิติ เป็น 3 มิติได้ด้วยตัวเอง คือหนังสือป๊อปอัพ เล่มนี้ไม่ป๊อปอัพ แต่เห็นรถที่วิ่งตามมาในอุโมงค์ และรถที่วิ่งนำหน้าในอุโมงค์ อุโมงค์ยืดยาวออก เจาะภูเขาทีละลูกๆ ทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไปแสนตระการตา พาโนรามาทุกใบ พัฒนาการเรื่องมิติเป็นเรื่องสำคัญ นำไปสู่พัฒนาการเรื่องอวกาศและเวลาซึ่งสำคัญมาก นำไปถึงพัฒนาการเรื่องการเปลี่ยนมุมมองและเวลาซึ่งสำคัญที่สุด ใครเปลี่ยนมุมมองเก่งกว่า ทักษะชีวิตจะดีกว่า
ใครมองเห็น "เวลา" ก่อน จะกำหนดเป้าหมายแม่นยำกว่า
แม้กระทั่งเมื่อถึงที่หมายแล้ว เด็กๆหันไปดู พวกเขาเห็นอะไรกันนะ?! มันสุดยอดมาก

ถ้าเธออยากเห็นปลาวาฬ
ยอดเยี่ยมมาก หากคุณพ่อเป็นโรคนอนไม่หลับ ให้อ่านเล่มนี้ให้ลูกฟัง
เป็นหนังสือที่ใช้เทคนิคการเล่าเรื่องที่ดีมาก คล้ายๆเทคนิคเรื่องไปทางภาพไปทาง แต่เล่มนี้แนบเนียนและละมุนละไมมากกว่า
ถ้าเธออยากเห็นปลาวาฬ เธอควรมีอะไร
ถ้าเธออยากเห็นปลาวาฬ เธอไม่ควรทำอะไร
หนังสือใช้หลายหน้า และเนื้อที่ว่างเปล่าในการสร้างตัวละครที่เราจะไม่เห็นไปเรื่อยๆ ทีละหน้าๆ
ผ่านไปหลายหน้า ด้วยถ้อยคำที่อ่อนหวาน กินใจ เด็กๆวาดภาพปลาวาฬขึ้นในใจทีละน้อยๆ
นักเขียนกล่าวว่าหากเรารู้สึกถึงสิ่งที่เราเขียน สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นในใจผู้อ่าน

เสียงร้องของใครนะ
จอนนี แลมเบิร์ตและน้านกฮูก
"เสียงร้องโหยหวนชวนขนลุก"
"สุดสยอง"
"น่าสะพรึงกลัว
แล้วสัตว์ประหลาดจะกินสัตว์เด็กมั้ยฮะ"
"พวกเราจะถูกถอนขนถูกสับและเอาไปผัดรวมกัน แล้วทำเป็นไส้ขนมพาย"
555 สงสัยหลายคนจะไม่ยอมซื้อ
เริ่มต้นด้วยหนูตัวหนึ่งวิ่งผ่านป่ามืดมิด มีเสียง อ่าา อู๊วว ดังก้องไปทั่วบริเวณ
สัตว์ต่างๆหนีเสียงสุดสยองขึ้นมาอยู่บนต้นไม้ เสียงร้องของสัตว์ต่างชนิดแตกต่างกันไป
พ่อแม่ที่ผันวรรณยุกต์ไม่คล่องท่าจะลำบาก 555
สมัยผมอ่านหนังสือให้ลูกฟัง ผมไม่เคยสนใจอายุหรือประเภทเลย คว้าอะไรได้ก็อ่าน และหากพบถ้อยคำหรือเนื้อเรื่องที่น่า "สยองขวัญ" ค่อยแก้ไขเอาเดี๋ยวนั้น
บางครั้งลดทอนคำลง บางครั้งเปลี่ยนเอาเอง และบางครั้งทำให้ตลกไปเลยก็มี
เรามันเทพอยู่แล้ว เด็กหลอกง่าย
เด็กๆไม่เคยกลัวหนังสือเล่มไหน คว้าหนังสือเดินไปมา ดูรูปบ้าง อ่านเองบ้าง คืนหนึ่งเมื่อเขาโตขึ้น เราง่วงจนหมดสภาพ ก็จะเผลออ่านไปตามที่เป็นจริง อย่างมากพวกเขาก็งงๆ แต่ถ้าเขายังเล็กอยู่ เขาจะโวยวายเอง "ป๊า! อ่านดีๆสิ!"
หากเราอยู่ด้วย ไม่ไปไหน ธรรมชาติจะจัดการเขาเองเสมอ มากไป น้อยไป สายกลาง เราแทบไม่ต้องทำอะไรเลย

ถ้วยฟูขี้อิจฉา : Trace Moroney
ความอิจฉามีทิศทาง
พุ่งจากตนเองไปสู่ภายนอก เห็นคนอื่นมีในขณะที่ตนเองไม่มี
ความอิจฉามีทิศทางตรงข้ามกับเซลฟ์เอสตีม คือไม่เห็นว่าตนเองก็มี
ถ้วยฟูหน้างอทั้งเล่ม ไม่น่ารักเลย คนขี้อิจฉาจะน่ารักได้อย่างไรกัน เหตุเพราะมัวแต่ดูคนอื่น
ส่องกระจกดูตัวเองจึงจะรู้ตัว ว่าหน้าบูด
และถ้าโชคดีจะพบว่าเราก็มี ดี
อย่ามัวแต่อิจฉาบ้านอื่นที่ลูกเขาเลี้ยงง่ายน่ารัก เพราะที่แท้บ้านของเรามีดีอย่างอื่น

หมีน้อยกินเองเก่งจัง
ปีใหม่แล้ว มากินเองกันเถอะนะ
อ่านถึงตอนท้าย “โดน”
เรื่องให้เด็กนั่งกินข้าวด้วยตนเองเป็นปัญหาของหลายบ้าน ในขณะที่เป็นเรื่องง่ายดายของหลายบ้าน สบายๆ
โต๊ะอาหารควรเป็นสถานที่แห่งความสุขและความทรงจำ เมื่อเด็กๆเติบใหญ่พวกเขากลับมาบ้านเพื่อมานั่งกินข้าวกับพ่อแม่เหมือนเมื่อครั้งเยาว์วัย บ้านควรเป็นเช่นนี้ มันดีมาก ขอบอก
เล่มนี้เล่าเรื่องลูกหมีกินข้าวเองผ่านการกระทำของลูกหมีเอง
หลายบ้านลืมไปว่าเด็กๆมี autonomy ตั้งแต่ขึ้นขวบปีที่ 2
autonomy หมายความว่าหนูทำได้เอง โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องสอน แม่หมีจึงวางอาหารตรงหน้าลูกหมีแล้วลูกหมีกินเอาเอง
อันไหน “ตัก” ได้ก็ตัก
อันไหน “หยิบ” ได้ก็หยิบ
ที่ได้คือความภูมิใจ
คำแนะนำอย่างเกรงใจที่สุดแล้วคือครบขวบก็นั่งกินเองได้แล้ว
ตอนท้าย “โดน” เพราะเป็นไปดังที่เขียนเสมอ ของเล่นที่ดีที่สุดคือตัวเป็นๆของพ่อ มิใช่คลิปหรือของเล่นบนโต๊ะอาหาร แล้วพ่อคือคนที่จะช่วยวางกติกาเรื่องนี้ได้ดีมากด้วยการใช้ “ตัวเป็นๆ” ของตัวเองเป็นเครื่องมือ

หนูอยากเป็นหมอฟัน : ลีสเบ็ต สเลเกิร์ส
เห็นลายเส้นก็เดาว่าผู้เขียนเป็นเบลเยี่ยม แล้วก็ใช่จริงๆ สีสันสดใส ลายเส้นคมชัดตัดขอบทุกพื้นที่ เหมือนแอร์เช่วาดแต๋งแต๋ง (The Adventures of Tintin)
อยากไปทำฟันน้อยไป อยากเป็นหมอฟันไปเลย
หนังสือชุดนี้อยากเป็นหลายเล่ม อันดับแรกเราต้องเลือกหมอฟันก่อน 555 เพราะน่ากลัวมาก 555 ขออภัยหมอฟันอีกแล้วนะครับ หนังสือเด่นด้วยภาพ เริ่มจากอุปกรณ์ในห้องหมอฟัน ดีนะ บอกกันก่อนว่าเข้าไปจะเจออะไร บรื๋อว์ว์ว์ ไม่ใช่ลูกหมอฟันนี่! แล้วแนะนำการแต่งตัวของหมอฟัน ท่านที่วันๆอยู่หลังหน้ากาก บางท่านทำฟันคุณตาหมอเสร็จแล้วก็ยังไม่มีโอกาสยลโฉมเลย 555
ตามด้วยวิธีไปหาหมอฟัน อันนี้เสี่ยงกันหน่อย ไม่รู้หมอฟันกี่คนจะทำฟันให้น้องหมาก่อน ถ้าไม่เตี๊ยมกันดีๆอาจจะมีเรื่อง ต่อไปถึงขั้นตอนอ้าปาก...

ใครกินพายแอ๊ปเปิ้ล ของฉันไป
หนังสือสนุกตั้งแต่ปกด้านในด้วยการแบ่งชื่อเรื่องเป็น 2 หน้า
หน้าแรก รูปพายพูนๆน่าอร่อยๆ พร้อมคำบรรยายว่า “ใครกินพายแอ๊ปเปิ้ล”
หน้าสอง รูปจานเปล่าพร้อมมดดำ 1 ตัว พร้อมคำบรรยายว่า “ของฉันไป”
ก็มดแหงๆ มี 1 ต้องมี 2 ของสองอย่างปรากฏพร้อมกันย่อมเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน เราเรียกว่า phenomenalistic causalty
แต่แล้วนิทานพาเราไปอีกทิศอย่างน่าทึ่ง ของสองอย่างปรากฏพร้อมกันมิจำเป็นต้องเป็นเหตุผลซึ่งกันและกัน
นิทานเล่าเรื่องหางและหน้าที่ของหาง
หนูกับเม่นทำพายพูนๆน่ากินวางไว้ในสวน นั่น! ใครขโมยแอ๊ปเปิ้ล
หนูและเม่นดึงหางเจ้าหัวขโมยไว้ หางขาด! เจ้าของหางและพายหลบหนีไปได้
หนูกับเม่นเดินตามหาเจ้าของหางไปทั่วทั้งป่า พบ “หาง” มากมาย แต่ใครกันนะจะเป็นเจ้าของหาง?
ช่างคิดช่างเขียน
ฉากเอาพายคืน น้ำตาไหลเลย
ความสามารถที่จะล่วงรู้ความทุกข์ของคนอื่นเรียกว่า เอ็มพาธีย์ empathy สร้างได้จากการอ่านนิทานและนวนิยาย

ฉันพร้อมฟังเธอเสมอจ้ะคนดี
จากเรื่อง The Rabbit Listened โดย Cori Doerrfeld และ วิภาดา สุทธิโรจน์
ไม่รู้คนเขียนจะมาผิดที่มั้ย นี่เป็นหนังสือที่ควรให้พ่อแม่หรือประชาชนทั่วไปอ่าน มิใช่เด็กๆอ่าน
แต่เนื้อเรื่องสนุกสนานสำหรับเด็กๆ น่าตื่นเต้นสัตว์เยอะดี ขำด้วย แต่เนื้อหาเป็นของพ่อแม่อยู่ดี กรุณาอ่านแล้วหัดทำตามเสียมั่ง!
ทิมสร้างปราสาท ปราสาทพังลงมา หมดกัน มันเหนื่อยนะกว่าจะทำได้
“ไม่เป็นไรหรอกลูก มาทำใหม่” พ่อแม่ส่วนมากจะโจนเข้าโหมดนี้ทันทีทันใด
มันเป็นไร! ใครว่าไม่เป็น!
“นิดหน่อยเอง มา เรามาสร้างใหม่ พ่อช่วย”
มันไม่นิดหน่อย! ไม่อยากสร้างใหม่!
“เอ๊ะ! พูดไม่รู้เรื่องนี่ ทำไมเรื่องแค่นี้ไม่รู้จักอดทน!”

รออีกหน่อยนะ
พี่ข้าวตู เรื่องและภาพ
เห็นนักเขียนไทยเขียนเองวาดเอง จะอย่างไรก็ต้องอ่าน
อ่านแล้วหากพบว่าไม่พยายามจะสอนอะไรอย่างชัดแจ้งก็จะชอบมาก
ที่เราอยากให้เด็กๆได้คือสิ่งที่เรียกว่า “ความคิดคำนึง” ความคิดคำนึงเป็นสิ่งที่มีแต่เราที่มี คือมนุษย์เท่านั้นที่มี
คือต้นทางของปัญญา
เล่มนี้พี่ข้าวตูบอกว่าตัดกระดาษมาทำเองด้วยมือ อ่านแล้วก็เจ็บใจทำไมผมคิดพล็อตเรื่องแบบนี้เองไม่ออก เป็นเหตุการณ์ที่พบอยู่ทุกวันแท้ๆ โดยเฉพาะหน้ามะม่วงออกลูก

กระโถนของฉัน
นี่ถ้าไม่เฉลยเสียแล้วบนหน้าปก เรื่องนี้น่าจะสนุกมาก ตอนอ่านไม่ต้องอ่านหน้าปกก็ได้
แต่เชื่อเถิด เด็กหลายบ้านจะแกะได้เองโดยไม่ต้องไป รร
เรามีความฉลาด - intelligence อยู่ 2 ชนิดที่แยกกันได้ง่ายๆ
ชนิดที่ 1 ถามว่าวัตถุสีแดงที่เห็นนี้คืออะไร เด็กคนที่ 1 ตอบว่าใช้ใส่ข้าว ใส่น้ำ ใส่ทราย ใส่ขนม ใส่ดอกไม้ ใส่ของเล่น ใส่ไก่ทอด ฯลฯ
ชนิดที่ 2 ถามคำถามเดียวกัน ที่เห็นนี้คืออะไร คำตอบสารพัดอยู่ในหนังสือเล่มนี้แล้ว
เด็กคนหนึ่งจะคิดหาคำตอบหลากหลายได้เมื่อเขาเปลี่ยนมุมมองต่อวัตถุสีแดงนี้ได้มากกว่า แทนที่จะมองมุมเดียว คือวางหงายแล้วใส่ของ เขาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ทุกมิติ
ทั้งที่หนังสือเล่มนี้ไม่เพียงเป็นนิทานสองมิติ แต่เป็นสองมิติแบบลงสีเรียบตัดเส้นคมชัดอีกด้วย เหมาะมากสำหรับเด็กเล็ก ถึงกระนั้นเขาก็มองเห็นสามและสี่มิติจนได้

The Secret of the Kelpie
เด็ก 6 คนวิ่งเล่น
พวกเขาพบม้าสวยงามที่ริมล็อค (loch ภาษาสก๊อตแลนด์แปลว่า lake ทะเลสาป เช่น Loch Ness ทะเลสาปเนส ที่อยู่ของเนสซี่)
พี่ชายคนโตกระโดดขึ้นหลังม้า
น้องคนถัดๆมากระโดดขึ้นตาม
“มันดูตัวใหญ่ขึ้นนะ” ฟลอร่าคนสุดท้องว่าแล้วไม่ยอมขึ้น แม้ว่าพี่ๆจะส่งมือให้จับ
ม้าเริ่มต้นเดินไปที่ล็อค
พี่ชายคนโตพยายามบังคับม้าแต่มันตรงไปที่ล็อค ลงน้ำ
พี่ชายพยายามปล่อยมือแต่มือติดขนคอของมันดึงไม่ออก น้องๆเกาะกันเป็นทอดๆดึงมือไม่ออก
ม้าลงน้ำแล้ว มันเริ่มเปลี่ยนรูป ตัวใหญ่ขึ้นอีก
ฟลอร่าพบแผ่นหิน เขียนรูปบางรูป
เธอแก้ปริศนาออกแล้ว มันไม่ใช่ม้า มันคือเคลปี้ (Kelpie) มันเป็นอสูร มันกลัวโลหะ
พี่ๆต่างค้นวัตถุโลหะจากกระเป๋าตัวเองออกมา จึงหลุดจากเคลปี้ได้ทีละคน
ยังเหลือพี่ใหญ่ เคลปี้บ้าคลั่ง มันใกล้จมน้ำแล้ว
พี่ใหญ่มีมีดซ่อนในรองเท้า แต่สองมือยังติดขนคอของมัน
น้องเล็กจะหยิบมีดเล่มนั้นออกมาได้อย่างไร
เคลปี้ปริ่มน้ำแล้ว

วันทำความสะอาดครั้งใหญ่
อ่านแล้วได้แต่หัวเราะ ไม่รู้จะว่าอย่างไร อะไรกันวุ้ย
ไวยากรณ์ของนิทานภาพคือภาพ
แม้ตัวอักษรจะบรรยายความละเอียดแล้ว แต่ส่วนสำคัญคือภาพ
ภาพมิได้ทำงานอิสระ ภาพทำงานพร้อมกับเสียงของแม่ สองอย่างนี้ประกอบกันขึ้นเป็นความจำใช้งาน
visiosketch pad + phonological loop = working memory
เสียงซ้ำๆ ยิ่งดีมาก ช่วยสร้างโฟโนโลจิคอลลูปให้แข็งแกร่ง
“ถ้าไม่รังเกียจ คุณ...หยิบ...ไปได้เลยจ้ะ เรายังมีอยู่” หนูพูดซ้ำๆทุกหน้า
หนังสือเล่าเรื่องหนูนิสัยดี 3 ตัวช่วยกันทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ ระหว่างที่ทำนั้นเองใครๆก็ผ่านมา แล้วขอของทีละอย่างไป จนกระทั่งแขกคนสุดท้ายมา เขาจะขอบ้านทั้งหลังไปมั้ยนี่ ลุ้นระทึก!
หนังสือมิได้บอกว่าหนู “นิสัยดี” เป็นตาหมอทึกทักเอาเอง จริงป่าวไม่รุ ก็เห็นสุภาพและใจดีมาก
สุภาพทุกประโยค ใจดีทุกๆหน้า
พ่อแม่อ่านไปหลับไปก็จะไม่เห็นสีหน้าท่าทางของหนู 3 ตัวที่ตัวอักษรมิได้บรรยาย ภาพทำงานของมันเองตามอิสระ
ยังไม่นับของใช้ในบ้าน อะไรไป อะไรอยู่ อยู่กี่ชิ้น พอใช้มั้ย มีสามตัว ยิ่งดูยิ่งเสริมสร้างวิซิโอสเก็ตช์แพด

เรื่องเล่าเราเติบโต
สำหรับนักแปลเก่งๆ คำในหนังสือนิทานประกอบภาพสำหรับเด็กสวยงามประหนึ่งวรรณกรรม
เรื่องเล่าเราเติบโตเล่าเรื่องเด็กชาย ลูกไก่ และลูกหมา
เขาเพียรถามแม่เสมอว่าเขาจะโตไหม
ฤดูหนาวหมดแล้ว เขาช่วยแม่เก็บเสื้อหนาวขึ้นชั้นรอปีหน้า
วันเดือนผ่านไป ต้นไม้เติบโต
ลูกไก่โตแล้ว ลูกหมาโตมาก
เขาเพียรถามแม่เสมอว่าเขาจะโตไหม
ภาพทุ่งกว้าง โลกกว้างใหญ่ เด็ก ไก่ หมา ตัวนิดเดียว หนังสือคือโลก
แล้วฤดูหนาวก็เวียนมาถึงอีกครั้งหนึ่ง...
ภาพวิจิตร คำไพเราะ งามดั่งบทกวี

จับกินให้หมดเลย!
าเมฆและพี่ปังปัง
ขำมาก
ยานอวกาศบุกโลก ลิ้นอ้วนให้ทหารผอมออกไปจับชาวโลกมากิน
ทหารผอมได้มด ผึ้ง ผีเสื้อ ตั๊กแตน และด้วงมา รวมห้าตัว
มดแดงร้องขอชีวิตแก่ลิ้นอ้วน อาสาจะไปหาของอร่อยกว่ามาให้ลิ้นอ้วนกิน
มดแดงเอามะเขือเทศมา ลิ้นอ้วนถูกใจ “ปล่อยตัว!”
ผึ้งเอามั่ง ไปเอาฟักทองมา “ปล่อยตัว!”
ผีเสื้อเอามั่ง ไปเอาแครอทมา “ปล่อยตัว!”
คิดว่าตั๊กแตนกับด้วงจะไปเอาอะไรมา?
จบดีมากนะครับ ว่าที่จริงจะไม่สอนอะไรในตอนจบเลยก็จะยิ่งดีมาก ปล่อยไว้ค้างคาฉะนั้น
รูปสวย บรรยายสนุก ไอเดียเก๋

โต๊ะกลมๆกลิ้งๆ
มาอีกแว้ว สองนักเขียนนักวาดภาพจาก เก้าอี้เชิญตามสบาย ใครได้อ่านบ้าง อวดหน้าปกคนไม่เคยอ่านด้วย มันดีมาก
คราวนี้กระต่ายฮึบๆๆๆ ตั้งแต่หน้าปกเลย ดูหน้าตามุ่งมั่นจริงจัง หน้าจริงจังๆ อีเอฟเต็มร้อย จนกว่าจะถึงเป้าหมาย
กลุก กลุก กลุก เสียงกระต่ายลากโต๊ะกลมใบใหญ่ขึ้นภูเขา กลุก กลุก กลุก ฟอนต์เล็กฟอนต์ใหญ่สลับกันไป เสียงจะดังในหูลูกตามขนาดของฟอนต์หรือไม่?
เอ๊ะ! ทำไมโต๊ะเบาลงเรื่อยๆ ต้องตามไปพลิกที่ร้านหนังสือ ฮาฮา ไม่ห่อพลาสติกๆ ฮาฮา
มีไวยากรณ์หนึ่งที่หนังสือนิทานสำหรับเด็กบางเล่มทำ คือ “อะไรที่หายไป”
ดูภาพก่อนสุดท้าย ในขณะที่สรรพสัตว์กำลังตื่นเต้นกับโต๊ะกลมตัวใหม่ “กระต่ายหายไปไหน”
ตอไม้เหลือแต่ตอ “ลำต้นหายไปไหน”
และที่สำคัญที่สุดสำหรับโต๊ะกลมตัวหนึ่ง “อะไรที่หายไป”
เด็กๆมิได้เพียงพัฒนาจากอะไรที่เห็น ฟอนต์กลุก กลุก หรือได้ยิน เสียงกลุก กลุก เด็กๆสร้างโลกและจักรวาล รวมทั้งสติปัญญาจาก “อะไรที่หายไป” ด้วย
เฮ้อ ทำไมจากญี่ปุ่นจะน่ารักอะไรขนาดนี้ทุกทีนะ โดยไม่พยายามสั่งสอนอะไรเลยสักคำเดียว

ทำไมปล่อยให้ที่นี่เละเทะขนาดนี้
มาดูนิทานจากจีนกันบ้าง
หลิวซี่ว์กง และ ณัฏฐพรรณ เรืองศิรินุสรณ์
เล่มนี้ไม่ต้องอ่านก็ได้ ดูแต่รูปก็รู้เรื่องแล้ว รูปยุ่งเหยิงมาก ได้ไล่พินิจพิจารณาทุกตารางนิ้วแน่ๆ คุ้ม
อ่านก็ช่วยเติมเต็ม ตัวหนังสือและรูปเสริมกันให้สมบูรณ์ แต่จะอย่างไรก็ไม่สมบูรณ์ เหลือช่องว่างให้เด็กๆเติมเสมอ คือข้อดีของนิทานประกอบภาพ
เรื่องนี้สนุก มีหักมุม ยังไม่พอ มีหักมุมอีกทบหนึ่งตอนจบอย่างคาดไม่ถึง
เรื่องเริ่มต้นแบบนี้ ท่านผู้นำไปเฉ่งผู้ช่วย ผู้ช่วยไปเฉ่งแม่บ้านที่บ้าน ..

ยีราฟจ๋าขอจุ๊บหน่อย
เรื่องนี้น่ารักจริงๆ
ยังไม่รับว่าเป็นตัวอย่างหนึ่งของหนังสือนิทานประกอบภาพที่พยายามไม่สั่งสอนอะไรหรือเพิ่มอะไรสักคิว สนุกในตัว
เรื่องลูกไปจุ๊บคนอื่นนี่มีคำถามเข้ามาบ่อยมาก “ทำไงดีคร้าาาา ลูกไปจุ๊บเพื่อน” สติจะสิ้นสมประดีกันให้ได้
ลืมไปว่าตัวเองจุ๊บลูกทั้งคืน แล้วลูกก็ไปเลียนแบบที่ รร
แม่จุ๊บลูก ลูกจุ๊บเพื่อนลูกเป็น non-erotic kiss หรือ platonic kiss โฮ่ คิดมากไปมั้ย
มาดูหมูน้อยจุ๊บยีราฟกันดีกว่า สนุกดี แก่แล้วคิดไม่ถึง
คิดว่าจะจบอย่างไร? จุ๊บ!

มังกรน้อยฝึกพ่นไฟ
มังกรน้อยอายุ 505 ปี ยังพ่นไฟไม่ค่อยเก่ง
อยากช่วยพ่อก็ทำขนมปังไหม้
อยากหอมแก้มแม่ก็พ่นไฟใส่แม่ซะงั้น
เหมือนที่เขียนเสมอว่าบางทีลูกอยากลูบแก้มแม่แต่กะแรงไม่ถูก แม่ว่าตีแม่ทำไม!
ลูกรักแม่อยากเล่นผมแม่ แม่ว่าดึงทำไมเจ็บนะ!
ลูกอยากช่วยเก็บของเข้าที่แต่ไม่รู้พลังกล้ามเนื้อตัวเองถูกพ่อดุว่าโยนของทำไม!
ลูกเพิ่งได้พลังกล้ามเนื้อมาไม่นาน เหมือนเราได้รถคันใหม่ไม่รู้แรง อะไรๆก็ต้องลอง
ดูพ่อมังกรจะช่วยลูกลองอย่างไรดี
ใจเย็นๆ ค่อยๆสอน แปลงทุกเรื่องเป็นการเล่น เด็กๆจะพัฒนา

๑๓ หมูป่า
ป้าอิ๊ดและพี่แตงโม
หนังสือเล่มเล็กสีสวยพิมพ์ด้วยกระดาษอย่างดีนี้วางตลาดนานแล้ว วันพรุ่งนี้เมื่อปีที่แล้วตอนหัวค่ำ คือวันแรกเมื่อได้ยินข่าวว่าเด็กๆของเราหายไป ทั้งจังหวัดไม่สบายใจ โดยหารู้ไม่ว่าพวกเขาจะต้องจับมือกันอยู่ในถ้ำที่มีแต่ความมืดและน้ำ ไม่มีแสง ไม่มีข้าว เจ็ดวันผ่านไป เราหมดใจแล้ว
ตอนนั้นทุกสายตาหันมองไปนางนอนทุกๆวัน และภาวนาขอให้พวกเขาอดทน
หากใครสักคนสติหลุดเสียก่อนความช่วยเหลือเข้าไปถึง หรือหากใครสักคนตื่นตะหนกขณะถูกลำเลียงใต้น้ำในถ้ำออกมา เราก็จะเสียใจกันมาก แต่พวกเขาอดทนมากพอทั้งที่เป็นเด็ก
หนังสือนี้เล่าเรื่องเป็นคำกลอน สัตว์ป่านานาชนิดมาช่วยกัน คำกลอนอ่านง่าย สีสดใสตัดเส้นคมชัด บางหน้ายืดยาวออกไปเป็นความยาวของถ้ำ
หากเด็กๆ อดทนกันไม่พอ หากผู้ใหญ่ลงรอยกันไม่ได้ ก็จะมีคนบาดเจ็บล้มตายมากกว่านี้

ท้องร้องจ๊อกๆ
ยโกะ นากามูระและพี่น้ำ
หนังสือนิทานประกอบภาพเขียนเรื่องขำขันก็ได้
เรื่องขำขันคืออะไร เรื่องขำขันเป็นเรื่องหนึ่งที่นิยามยาก เขียนก็ยาก ทำไมคนเราถึงขำกับเรื่องเล่าบางเรื่องง่ายๆ ในขณะที่หลายครั้งผู้เขียนตั้งใจเขียนให้ขำกลับไม่ขำ
ขำขันมักมีลักษณะข้อหนึ่งคือ คาดไม่ถึง
แต่เรื่องคาดไม่ถึงก็มิได้ทำให้ขำเสมอไปอยู่ดี
เรื่องนี้คาดไม่ถึง
เริ่มจากหมาป่าหิวโซตัวหนึ่งไปพบลูกแมว 5 ตัว จึงหลอกเข้าไปในป่า
หมาป่าย่อมใจร้าย ลูกแมวย่อมถูกกิน
แต่แล้วเรื่องกลับลากยาวออกไปอย่างคาดไม่ถึง แม้นักอ่านอย่างคุณตาหมอก็คาดไม่ถึง จะอย่างไรกันอีก อีกนานมั้ยกว่าหมาป่าจะได้กิน
หรืออย่างน้อยก็เปิดเผยตัวตนที่แท้
ลำพังลูกแมว 5 ตัวก็คิดว่าหนังสือจะจบได้แล้ว เรื่องคาดไม่ถึงเกิดขึ้นอีกเมื่อแม่หมีลูกหมีโผล่มา
ตามด้วยเรื่องคาดไม่ถึงอีกหลายหน้าขำ
หนังสือเล่มนี้พูดเรื่องการแบ่งปัน คืออะไรที่พ่อแม่อยากให้ลูกๆทำ
แต่อ่านดูเถิด นักเขียนที่มาจากสังคมที่มีเสรีภาพมากกว่าเขาพูดเรื่องการแบ่งปันอย่างไร คือการแบ่งปันที่ไม่อยู่ในกรอบวิชาศีลธรรม
แต่แบ่งปันเพราะความจำเป็นทางสังคม เป็นเรื่องเข้าใจยากสำหรับสังคมศีลธรรมจัด ที่ไม่คิดว่าสังคมมีความสำคัญกว่าปัจเจก